วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทัศนคติเชิงบวกในการทำงาน


     การทำงานให้ประสบความสุข ความสำเร็จ เริ่มต้นที่ความคิด ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับงาน ความรู้สึกที่ดีต่อการทำงาน ลงมือกระทำงานด้วยความรู้สึกสดชื่น เบิกบาน ตื่นตา ตื่นใจ ผลงานที่ทำด้วยความตั้งใจดี ก็จะออกมาดี ผู้ทำงานก็มีความสุข ตั้งแต่เริ่มคิด รู้สึก และขณะที่ทำงานแน่นอน! ความสุขได้เกิดขึ้นตลอดเวลาจนงานสำเร็จ
     ความคิดเชิงบวก หรือทัศนคติเชิงบวกในการทำงาน ถ้าเป็นนิสิต นักศึกษา เมื่อครู อาจารย์ ผู้สอน ให้การบ้าน มอบหมายงานให้ทำ แทนที่จะรู้สึกไม่พอใจ บ่น อารมณ์เสีย ให้คิดเสียใหม่ว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้คิด ทำ ฝึกฝน ทักษะให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น รู้สึก ขอบคุณ ครู อาจารย์ ที่ได้ให้โอกาสเรียนรู้ สะสมประสบการณ์ มิใช่ บ่น บ่น จนเหนื่อยสูญเสียพลังงานไปกับความรู้สึกเป็นลบ และงานก็ออกมาไม่ดี นั่นคือ ลักษณะของ "ผู้แพ้" ดังนั้น "ผู้ชนะ" จึงไม่มีนิสัยบ่น ท้อถอย และคิดเชิงลบ แต่กลับตื่นเต้น และรวมพลังลงสู่งาน เพื่อเป้าหมายของความสำเร็จ
     หากเป็นลูกน้อง เมื่อเจ้านายหัวหน้า ให้งานทำ หรือมอบหมายงานให้ทำ ก็ควรรู้สึก ขอบคุณ ภูมิใจในความสามารถ / ฝีมือที่ฝากไว้ในผลงาน แทนที่จะคิดว่าเป็น "เวรกรรม! ทำไมต้องเป็นเรานะ" ประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นจากการทำงาน ทำให้คนเก่งกล้าสามารถมากขึ้นที่จะ ได้แจ้งเกิด เพราะบางคนมีความสามารถแต่ ขาดโอกาส ก็ไม่สามารถนำตนไปสู่ความสำเร็จสูงสุด ดังนั้นการได้โอกาสในการทำงานจึงเป็นการเปิดประตูสู่ความสำเร็จ ด้วยการใช้โอกาสให้เกิดผลคุ้มค่า เต็มเวลา เต็มใจ และยากที่จะลงท้ายด้วยความล้มเหลว ต้องพบความสำเร็จในระดับหนึ่ง หรือฝึกหัดตนเอง เป็น "ผู้ชนะ" นั่นเอง เพราะ "ผู้ชนะ" จะไม่มีเวลาที่จะเสียอีกแล้วสำหรับความคิดเชิงลบ แต่ความคิดเชิงบวกเท่านั้นที่จะเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จ
     ความคิดเชิงบวกในการทำงาน ก็ต้องเริ่มต้นที่ความคิด คิดให้ถูกต้อง เข้าใจให้ถูกต้องในเรื่อง "มิติของงาน" เพราะ ทัศนคติเชิงบวกในการทำงาน จะช่วยเพิ่มพูนความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับงานได้อย่างใหญ่หลวง เพราะ "งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน" "หากงานดี ชีวิตก็ดีตาม" หรือหากขาดงาน ก็คือขาดชีวิต จึงควรเลิกคิดเสียทีว่างานเป็น "โซ่ตรวน" รู้สึกเป็น "ทาส" เป็น "ภาระ" เป็น "เคราะห์กรรม" แต่งานนั้น เป็น "อิสระภาพ" เป็น "นายของตนเอง" เป็น "โอกาส" และเป็น "พร" ที่ได้รับต่างหากล่ะ! เพราะบุคคลที่ไม่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงาน ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำงาน งานจึงมิใช่เพียงอยู่แค่มิติของการคิด แต่ต้องรวมความรู้สึกที่ดีและต้องลงมือกระทำด้วย จึงจะสำเร็จ และ "งาน" ได้ "สร้างโลกที่เราอยู่จนทุกวันนี้" งานทำให้ "คนรู้จักชีวิต และมีชีวิต"
     งาน จึงหมายถึง การค้นพบ "พลังรักษา" อันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในงาน เพราะงานเป็นกุญแจไปสู่ความสุข ความรู้สึก สดชื่น เบิกบาน ตื่นใจ มีกำลังใจ มีความหวัง ดังที่ แมกซิมกอร์กี้ กล่าวว่า "งานจึงมิใช่เพียงแสงเทียน แต่เป็นกองไฟ อันสว่างและอบอุ่น"
     งานจึง หมายถึง ภาพสะท้อนของความเชื่อ ความศรัทธา ความสามารถ ความคิด ศักดิ์ศรี และอุดมคติ และแสดงถึงตัวตนที่แท้จริงของคน
     การทำงานจึงเหมือนกับการทำบุญ ด้วยการขอบคุณในงานนั้นและมุ่งมั่นที่จะทำงานนั้น เพราะงานเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต มิใช่ศาลาพักร้อน หรือที่พักระหว่างทาง งานได้สร้างประโยชน์ และความก้าวหน้าของมนุษยชาติ ดังที่ ท่านอาจารย์พุทธทาส อินทปัญโญ ได้กล่าวถึงการทำงานไว้ดังนี้

การงานเป็นสิ่งที่น่ารัก
อันที่จริง          การงาน          นั้นน่ารัก
เมื่อยังไม่         รู้จัก               ก็อางขนาง (ไม่ชอบ)
ไม่รู้จัก            ก็ปล่อยปละ     แล้วละวาง
บ้างร้องคราง   เมื่อรอหน้า       ว่าเบื่อจริง
แต่ที่แท้          การงาน           นั้นน่ารัก
สอนให้คน       รู้จัก               ไปทุกสิ่ง
ถ้ายิ่งทำ         ยิ่งฉลาด          ไม่พลาดยิง
ได้ตรงดิ่ง       สิ่งอุกฤษฏ์        คือจิตเจริญ
การงานนี้        ดูให้ดี              มันน่ารัก
เป็นการชัก      ธรรมะมา          น่าสรรเสริญ
คือมีสติ          มีฉันทะ            ทมะเกิน
ครั้นหยุดเพลิน จิตก็วาง           ทางนิพพาน



ขอบคุณบทความจาก
รองศาสตราจารย์ ดร.อารี พันธ์มณี
หัวหน้าสาขาวิชาจิตวิทยาเพื่อการพัฒนามนุษย์

2 ความคิดเห็น: