วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

คนไม่สำเร็จ มีความคิด แบบไหนกัน?



"ทำง่าย ทำที่บ้าน วันละ 2-3 ชม."
"ไม่ต้องรักษายอด"
"เปิดรหัสฟรี"
"จะต้องอยู่ต้นสาย"
"ทำทางเน็ต 100%"
"ไม่ต้องอบรม"
"มีหลายรหัสรายได้มากขึ้น"

         วามคิดต่างๆ นาๆ ที่คิดแล้วเรามีความรู้สึกว่ามันง่ายดีเน๊าะ เลิกเถอะครับ กับแนวคิดแบบนี้ ผมเห็นมามากมายไม่ว่าจะเป็นการชักชวนจากเพื่อน ไม่ว่าจะเจอในบอร์ดต่างๆ หรือแบนเนอร์ติดตามเว็บต่างๆ เพราะเบื่อมากกับการชวน แบบผิดๆ ไม่ว่าจะออฟไลน์ หรือออนไลน์ ที่ทำทุกวิถีทางให้ผู้คนมาสมัครร่วมทำธุรกิจ อาจจะ spam mail บ้าง โพสต์ชวนเชื่อบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วส่วนมากจะมีแนวคิดที่ผิดๆ กับธุรกิจเครือข่ายนะครับ ข้อความบางตอนอาจพาดพิง บางบริษัท แต่ ในเชิงข้อมูลเท่านั้น ไม่มีเจตนาอย่างอื่น
         คิดว่าหลายคนยังคิดกับ ธุรกิจเครือข่ายไม่ถูกต้อง ย่อมทำให้ ธุรกิจที่ตัวเองกำลังทำอยู่ เสียหายไปด้วยครับสำหรับ ผู้ที่กำลัง ถูกชวน เจอคนชวนที่ มีทัศนคติแบบนี้ ไม่ต้องยุ่งเป็นดีที่สุดครับ

1.ต้องรีบอยู่ต้นสาย ถึงน่าทำ
          - ถ้าคุณคิดแบบนี้ หรือ ถูกชวนแบบนี้ แน่นอนครับ ว่า แนวคิดแบบนี้ จะถูกถ่ายทอดลงไปในองค์กรของเรา แล้วมันจะเกิดการดับสลายในองค์กรของคุณอย่างแน่นอน
เพราะอะไรน่ะเหรอ ?
          ถ้าบอกว่าอยู่ต้นสายกับบริษัท ใหม่ๆ เพิ่งมาเมืองไทย หรือ จองรหัสก่อนรวยก่อน คำเหล่า นี้ บ่งบอกได้เลยครับว่า องค์กรไม่มีทางอยู่ได้นาน เพราะถ้าคุณทำต้นสายคุณรวยเร็ว รวยกว่าคนทำทีหลัง งั้นก็แสดงว่าคนมาทีหลังจะได้น้อย รวยช้า หรืออาจจะไม่สำเร็จกับธุรกิจน่ะสิ ถ้าคุณปลูกฝังค่านิยมแบบนี้บอกได้เลยว่า ไม่เกิน 2 ปี คนที่ทำทีหลังเค้าก็จะรู้สึกแบบนี้ และย้ายไปทำที่อื่น (พร้อมให้เหตุผลว่า บริษัทเปิดมานานแล้ว) เมื่อนั้นองค์กรของคุณ มันจะโตหรือครับมันก็จะมีแต่จะยุบตัว แล้วคุณก็ต้องย้ายที่ใหม่เหมือนกัน
          ถ้าธุรกิจดีจริง จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ครับ จะเห็นได้จากหลายบริษัทที่อยู่เป็น สิบปี มักเกิดคนเข้ามาสมัครใหม่ อย่างต่อเนื่อง คนที่สมัครมาทำทีหลัง สามารถแซงคนที่อยู่้ก่อนได้ หลายคนสมัครตั้งแต่ เริ่มบริษัทเปิด แต่ยังไม่ถึงไหน ผ่านมา 10 กว่าปี คนที่มาสมัครทีหลังก็สำเร็จก่อนได้ เมื่อทุกคนคิดว่า ทำทีหลังก็สำเร็จได้ เมื่อนั้น องค์กรของคุณ ก็จะเติบโตอยู่ได้นานนะครับ แบบนี้ถึงจะเกษียณได้ จริงหรือไม่ คุณคิดเอาเองนะครับ

2.การลงทุนเยอะ เป็นการสกรีนคน
          ถ้าการลงทุนเยอะ หลายหมื่นถึงแสน ผมว่าไปขาย ปังปิ้ง นมสด เปิดร้านกาแฟ เป็นธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ดีกว่าครับ ธุรกิจเครือข่ายบอกเองว่า ลงทุนน้อย มีความเสี่ยงน้อย แต่บางคนไปหมดกับ การ สต๊อคของ เช่าตึก จ้างคนมาเฝ้าศูนย์ สั่งซื้อชุดโฆษณาเพื่อที่จะทำการตลาดแบบออนไลน์ นั่งดูดเมล์ ส่งเมล์เป็นวันๆ โพสต์ตามเว็บบอร์ด แล้วจะมีอิสระภาพ ทางด้านเวลาได้อย่างไรครับผม
          ถ้าคิดว่า เป็นการสกรีนคน ด้วยการลงทุนหนักล่ะก็ผมว่าช่วยกันหยุดคิดพิจารณาซักนิดก่อนดีกว่านะครับ พฤติกรรมธรรมชาติของคน ไม่ว่าธุรกิจอะไรก็มีคนไม่สำเร็จมากกว่าอยู่แล้วครับ คนไม่สำเร็จ แต่ลงเงินไปเยอะพวกเค้า ย่อมรู้สึกแย่กับธุรกิจและสินค้านั่นแหละครับ จะบอกว่าเค้าไม่ทำเองก็ใช่ครับ แต่เราไม่สามารถห้ามไม่ให้เค้า รู้สึกแบบนั้นไม่ได้หรอก
          จะสังเกตุได้ชัดครับ เมื่อคุณค้นหา ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่ ลงทุนสูง มักจะเกิดกระแสด้านลบ ตามเวบไซต์ต่างๆ
ทำไม ถึงเกิดกระแส แบบนี้ รวดเร็ว ?
          ก็เพราะ เมื่อเกิดการลงทุนสูงนั้นคนส่วนมากจะเอาของไปขาย เพื่อต้องการทุนคืนครับ ก็ต้องเกิดการ ยัดเยียด วางขายตามแผง หรือ ใต้ถุนห้าง พูดง่ายๆก็คือ สินค้า ระบาดเร็วมากคนจึงรู้จักได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคนรู้จักเยอะมากก็จะเกิดความสงสัย หลังจากถูกชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจ ส่วนธุรกิจที่โตได้นาน ภาพลักษณ์ก็มีส่วนเช่นกันครับ ถ้าเรารักษาภาพลักษณ์ของธุรกิจได้ ไม่ว่า จะนานเท่าไหร่ ก็ทำสำเร็จได้เช่นกัน
 ** ขออภัย ผู้ที่ทำถูกวิธี แต่ธุรกิจ มีการลงทุนสูงด้วย

3. ไม่มีเว็บไซต์ให้ไม่น่าทำ ,ไม่มีระบบจัดสายงานอัติโนมัติ, ทำทางเน็ต100%
          หลายองค์กรของผู้ที่ทำสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องใช้เวบไซต์เลยครับ การใช้เวบไซต์ เป็นตัวช่วยในการหาคนเท่านั้นเอง แต่มองอีกมุมหนึ่ง ถ้าเรามีเวบไซต์แล้ว เราจะทำยังไงให้คนรู้จักเวบไซต์เราล่ะครับ แน่นอนคงไม่พ้น การโพสตามเวบบอร์ด และสแปมเมลล์ การโฆษณากับเครื่องมือค้นหาต่างๆ เช่น กลูเกิล ยาฮู เป็นต้น ส่วนตรงนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกใช่มั้ยล่ะ เมื่อคนทำแบบเราหลายๆคน ช่วงแรก องค์กรอาจจะเติบโตอย่างรวดเร็วครับ แต่ระยะยาวมันเต็มพื้นที่ทุกเว็บแล้ว มันจะน่าสนใจเหรอครับ เมื่อไม่น่าสนใจ คนก็ไม่สมัครต่อแล้วองค์กรอยู่ได้นานแค่ไหนครับ ธุรกิจเครือข่าย ทำออฟไลน์ เป็นการพัฒนาศักยภาพได้มากกว่าครับ และเกิดสายสัมพันธ์ในองกรด้วย อีกส่วนก็คือทำให้เรารู้จักการทำงานเป็นทีมอย่างสมบูรณ์แบบ และถ้าจากบอกว่า ทำทางเน็ต 100% ละก็ คิดใหม่เถอะนะครับธุรกิจ 100 ล้าน ที่ไหนทำง่ายๆบ้างครับ

4. ต้องทำสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์
          ธุรกิจนี้ การโฆษณาเป็นหน้าที่ของบริษัทครับ เค้าก็บอกเองว่าเราทำตลาดด้วยการบอกต่อ เราไม่ต้องมีหน้าร้านออนไลน์ก็ได้ เราไม่ต้องจ้างคนมาเฝ้าร้าน ในส่วนตรงนี้บริษัทเขาทำให้หมดแล้ว คืออะไรล่ัะครับ ใช้ดีและบอกต่อ ก็พอครับ หลายคนที่ทำงานเครือข่ายมักจะหมดเงินกับการทำ ใบปลิว แจกตามสะพานลอย เสียบตามตู้ ATM หรือตู้โทรศัพท์ และที่เห็นเยอะมาก คือ ลงตามนิตยสาร หมดเงินกันเดือนละเท่าไหร่ล่ะ แล้วภาพลักษณ์เหมือนอะไรครับ ธุรกิจพันล้าน เค้าต้องเดินแจกใบปลิวเหรอครับ ธุรกิจพันล้าน เค้าต้องเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆเหรอครับ และบางคนยังหนักกว่านี้ครับไปสั่งซื้อเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นโประแกรมดูดเมล์จากเว็บต่างๆ เพื่อที่จะ spam mail ในรูปแบบออนไลน์อีกครับ หารู้ไม่การทำแบบนี้มันผิดกฏหมาย คือ ส่งข้อมูลออกไปทีละเยอะๆ "โดยที่ผู้รับนั้นไม่ได้มีเจตุจำนงค์จะรับข้อมูลจากคุณ" อันนี้ถือว่า "ไม่เป็น "E-Mail Marketing" แต่จะถือว่าเป็น สแปม (SPAM) เพราะฉะนั้นต้องระวังให้ดี เพราะตอนนี้ประเทศไทยมี พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ที่บอกไว้ในมาตรา 11 ว่า "ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท"

          ดังนั้นการส่งมั่ว หรือการส่งสแปมเสี่ยงต่อการผิดกฏหมาย เห็นไหมล่ะครับการที่เรากำลังหลงเชื่อคำโฆษณาที่แบบผิดๆ โดยถูกสอนมาจากผู้แนะนำเรา มันอาจจะทำให้เราถูกปรับเงิน หรือถูกขังเพราะไม่มีเงินเสียค่าปรับก็ได้นะครับ หลายบริษัทที่ กฏจรรยาบรรณแข็งๆ เค้าบอกเลยครับว่า ห้ามทำสิ่งเหล่านี้

5. ไม่ชอบรักษายอด
          อยากทำธุรกิจ ก็ขอให้เข้าใจหลักการของธุรกิจด้วยครับ เข้าใจด้วยครับว่า บริษัทมียอดขายสูงขึ้น เราก็มีรายได้สูงขึ้นได้ ถ้าบริษัทยอดขายต่ำลง แล้วเราจะมีรายได้สูงขึ้นได้อย่างไร? จริงไหมครับ ตรงนี้ช่วยกันหยุดคิดซักหน่อยนะครับ ทุกธุรกิจเปิดมาก็เพื่อขายสินค้าทั้งนั้นล่ะครับ มีที่ไหนบ้างที่ไม่ต้องทำยอดขายครับ สมัครแล้วมีรายได้ตลอดมันไม่มีหรอกครับถ้าเข้าข่ายแบบนี้ ให้เราคิดไปเลยว่ามันอาจจะเป็นรูปแบบการปั่นเงิน หรือเป็นลูกโซ่ก็ได้ครับ คือจะนำเงินของผู้ที่สมัครใหม่มาจ่ายเป็นรายได้ให้กับรายเก่าๆ นั่นแหละครับ ข้อคิดก็คือ ถ้าวันใดไม่มีผู้สมัครแล้วก็คือเราไม่มีรายได้ใช่ไหมครับ? ส่วนสินค้าของทุกบริษัทที่สามารถอยู่ได้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นๆ จะต้องมีคุณภาพจริง ลูกค้าใช้แล้วเกิดความพึงพอใจ มีความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีส่วนตรงนี้ก็เกิดการซื้อซ้ำจากลูกค้าเดิม และมีการซื้อเพิ่มจากลูกค้าใหม่ๆ เช่น บ.ที่อยู่มาได้กว่า 10 ปี แอม.. ที่ว่ามั่นคงสุดๆนั้น คนที่ทำได้ ก็เพราะ องค์กรของเค้า มียอดซื้อจากสายงานหนึ่ง เดือนละไม่ต่ำกว่า 345,000 บาท ทุกเดือน คงไม่มี ใครทำได้หรอกครับ ถ้าจะให้มีรายได้นั้นเกิดจากคนใหม่มาสมัคร หรือช่วยกันซื้อ รวมกันได้ 345,000บาท ทุกเดือน ยอดที่ได้ต้องเกิดจากคนเดิมซื้อซ้ำ และเกิดคนใหม่ซื้อเพิ่ม สะสมกันจน ยอดถึงเป้าหมายที่วางไว้ และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
          ถ้าคิดว่า ธุรกิจที่ไม่รักษายอดมั่นคงนั้น ก็ขอให้พิจารณาจาก ทุกบริษัทที่อยู่ได้นานๆ และขายสูงขึ้นทุกปีนั้น มีบริษัทไหนบ้าง ที่ไม่รักษายอด ** รักษายอด = ซื้อซ้ำ

6. ไม่ชอบเข้าอบรม
          คนที่เขาสำเร็จได้เขาเข้าประชุมกันทุกคนครับ คนที่ไม่สำเร็จ ส่วนมากก็ไม่เข้าประชุมนั่นล่ะ การประชุมหลายคนไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเข้า สามารถเปรียบเหมือนคนไม่ไปเรียนนั่นล่ะ ส่วนมากเรียนไม่จบทั้งนั้น ก็คุณไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศ ไปเรียนรู้วิธีการต่างๆ แล้วจะสำเร็จได้อย่างไรคุณอาจจะมองว่า เข้าไปก็พูดเหมือนเดิม รู้แล้ว ขอให้เปรียบกับนักเรียนที่เตรียมเอ็นท์ทรานซ์ คนที่เอ็น ติด เค้าอ่านหนังสือรอบเดียว เรียนครั้งเดียวเหรอครับ ส่วนมากเค้าอ่านหลายรอบ เรียนพิเศษ ฟังความรู้อย่างต่อเนื่องทั้งนั้นล่ะครับ
          อีกอย่างการที่เข้าไปกี่ครั้งก็พูดแบบเดิม ก็ขอให้เข้าใจใหม่ว่าธุรกิจคือการทำซ้ำ เราเข้าไปรับสารแล้ว เราจะไปเอาสารนี้ไปบอกคนอื่น ไปเรื่อยๆ คงเหนื่อยมาก ธุรกิจนี้คือการผ่อนแรงครับไม่งั้นคงไม่เรียกว่า ธุรกิจเครือข่าย วิธีที่ถูกต้อง คือ คุณต้อง พาคนใหม่เข้าไปเรียนรู้แบบคุณ และคนนั้น ก็จะไป พาคนใหม่ๆ เข้าไปเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นอีก เมื่อทุกคนเข้าใจเหมือนกัน ก็จะทำเหมือนกัน แล้วกระจายตัวเป็นองค์กรที่เติบโตและยิ่งใหญ่ได้ ถ้าไม่ชอบเข้าประชุม อย่างหวังว่า จะสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายเลยครับ

7. สมัครไว้ก่อน รออัพไลน์ ช่วยก่อน ถึงจะเริ่มทำ(คุณไม่ช่วยเราไม่ทำ)
          ถ้าคิดแบบนี้ แทบทุกคนล้มเหลวครับ ธุรกิจที่เกิดการทำซ้ำ มันก็ต้องทำจากความรู้สึกและความคิดของตัวเองครับ ถ้าคิดจะรอให้คนอื่นช่วย ก็เหมือนกับคิดแค่ว่าตัวเองเป็นได้แค่ ดาวน์ไลน์เป็นอัพไลน์ใครไม่ได้ แล้วเมื่อคุณมีดาวน์ไลน์ ดาวไลน์จะก๊อปปี้ใครล่ะครับ ?

8. ไม่ชอบสาธิตสินค้า
          "ถ้าทำในสิ่งที่เราเคยทำ ก็จะได้ในสิ่งที่เคยได้ ถ้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ก็จะได้ในสิ่งที่ไม่เคยได้" หลายคนอาจไม่ชอบครับ การสาธิตสินค้าแต่การเปิดใจคน มันมีหลายวิธีครับ เช่น
          - พาคนเข้าไปฟังธุรกิจ
          - สาธิตสินค้าให้ดู
          - พาอัพไลน์ไปช่วยสปอนเซอร์
          ทุกอย่างเป็นโอกาสหมดล่ะครับ ทุกคนเปิดใจกับธุรกิจไม่เหมือนกันซะทีเดียว ดังนั้นเราจะไป ปิดกั้นโอกาสเหล่านั้นทำไม

9. ธุรกิจมีนานแล้ว คนอื่นทำเยอะแล้วไม่น่าทำ , ธุรกิจใหม่ คนทำน้อย คนยังไม่รู้จัก แนะนำยากไม่น่าทำ
          ไม่รู้ว่า อะไรจะเป็นปัญหากว่ากันครับ ผมบอกได้เลยว่า ไม่ว่าคนทำมากหรือทำน้อย ก็ทำได้ทั้งนั้นแต่ถ้าเรามองปัญหา มันก็เป็นปัญหา
          ถ้าคนทำเยอะแล้ว ก็ขอให้มองในแง่ดีครับ แสดงว่ามันดีไงคนเลยทำเยอะน่าจะทำง่ายซะอีก
ธรรมชาติของคน ก็จะมีคนไม่ชอบ แล้วชอบ , คนชอบแล้วไม่ชอบ , คนไม่ชอบ และยังไงก็ไม่ชอบ
ไม่ว่ายังไง คนทำเยอะแค่ไหน ก็จะมี คนอย่างนี้อยู่ ตลอดเวลาครับ ดังนั้น ไม่ต้องคิดมาก ทำไม่ได้ ค่อยมาเครียดดีกว่า
          ถ้าคนทำน้อย ก็ขอให้คิดในแง่ดีครับ ว่าคนไม่รู้จักน่ะดี จะได้มาทำกับเราถ้าคนรู้จัก แสดงว่า เค้าไปได้ยินจากคนที่มาชวนเค้า ซึ่งอาจจะเป็น เพื่อน ญาติ พี่ น้อง แล้วถ้าเค้าจะทำ เค้าจะทำกับเราเหรอครับ ไปทำกับคนที่สนิทกับเค้าไม่ดีกว่าเหรอ
          สินค้าทุกยี่ห้อก็มีเกิดมาตามยุคสมัยทั้งนั้น การที่มาทีหลังแล้วคนรู้จักน้อย เราก็ทำให้เค้ารู้จักสิ
ก็นี่มันเป็นหน้าที่ของนักธุรกิจเครือข่ายอยู่แล้วนี่ครับ เจ้าของ AIS เอา มือถือมาทำตลาด เค้าต้องรอให้เจ้าอื่นมาทำก่อนเหรอครับ ถึงจะเริ่มทำ เศรษฐีหลายคนมักมองอะไรๆ เป็นโอกาสเสมอ ยิ่งไม่มีคนทำนะ ยิ่งเป็นโอกาสทั้งนั้น อย่างเช่น นิทานเรื่อง พนักงานขายรองเท้าของบริษัทแห่งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า

          มีบริษัทผลิตรองเท้าบริษัทหนึ่ง ประสบความสำเร็จมาก วันหนึ่งฝ่ายบริหารประชุมกัน และพิจารณาที่จะเปิดตลาดในทวีปแอฟริกา จึงส่งพนักงานขายอันดับ 1 ไปยังแอฟริกาเพื่อทำการศึกษาศักยภาพของตลาด เมื่อไปถึงแอฟริกา เซลล์แมนสังเกตว่าชาวแอฟริกัน ส่วนมากเดินด้วยเท้าเปล่า เขาก้อเลยส่งข่าวกลับไปด้วยข้อความที่ว่า “ข่าวร้าย ที่นี่ไม่มี ใครสวมรองเท้าเลย” และก็ส่งรายงานตามไปอีกว่า ไม่มีตลาดรองเท้าในทวีปแอฟริกานี้ ฝ่ายบริหารก็พิจารณาว่า ควรจะหาข้อมูลเป็นครั้งที่ 2 เพื่อให้แน่ใจ จึงตัดสินใจที่จะส่งเซลล์แมนอีกคนหนึ่งไปเพื่อประเมินตลาดแห่งนี้ พนักงานขายคนที่ 2 เมื่อไปถึงแอฟริกาก็มีความตื่นเต้นมาก และส่งข่าวกลับมาทันทีด้วยข้อความว่า “ข่าวดี ไม่มีใครที่นี่ใส่รองเท้า
เลย” เขารีบเดินทางกลับและรายงานแก่ฝ่ายบริหารว่า “สุภาพบุรุษทั้งหลาย เรากำลังจะรวย เพราะมีตลาดใหญ่มากในแอฟริกา และสิ่งสำคัญที่เราต้องทำคือ ให้การศึกษาแก่ชาวแอฟริกันว่าประโยชน์และความสำคัญของการใส่รองเท้าคืออะไร” ชีวิต ก็คือ เราจะรับรู้อย่างไร มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ในทุกๆเรื่องทุกๆเหตุการณ์ ท่านสามารถที่จะมองว่า “แก้วใบหนึ่งเต็มอยู่ครึ่งหนึ่ง หรือ ว่างเปล่าอีกครึ่งหนึ่ง” ท่านสามารถที่จะมองเห็น รูโดนัท หรือตัวโดนัทเอง ทางเลือกอยู่ที่ตัวท่านเอง หรือท่านเพียงผู้เดียวที่จะตัดสินใจได้ แต่จำไว้ว่า ทางเลือกที่ท่านเลือกจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของท่านเอง

10. ต้องดีที่สุด ต้องอินเทรนด์ที่สุด
          ลองไปเลือกโทรศัพท์ มือถือครับถ้าจะหา รุ่นที่ดีที่สุดหายังไงซื้อไปก็เจอรุ่นใหม่เกิดขึ้นดีกว่า เรื่อยๆครับ และที่สำคัญมือถือทุกรุ่นจะสุดหรูสุดยอดเทคโนโลยี ขนาดไหนก็มีข้อด้อยให้ตำหนิ ครับหรือต้องอินเทรนด์ที่สุด ไม่มีคู่แข่ง โดดเด่นที่สุด ก็เหมือนกันล่ะครับ ไม่นาน ก็จะมีสินค้าคล้ายกันออกมาตามเพราะมันเป็นเทรนด์ ในธุรกิจเครือข่าย เราต้องย้ายไปย้ายมา ตามบริษัทเปิดใหม่หรือเปล่าครับ
ไม่ว่ายังไง จะธุรกิจแบบไหน ก็จะมีการพัฒนาตามหลังเรื่อยๆ ถ้าจะเกิดใหม่ต้องโดดเด่นสุด ถึงจะทำตลาดได้ จริงๆ มันก็ถูกครับแต่ในธุรกิจเครือข่าย ถ้ามาคิดแบบนี้ คนทำ แอม.. ทำกิฟ.. คงย้ายค่ายตามหมด แต่ยอดขาย ของบริษัทเหล่านี้ ก็โตขึ้นทุกปี มันเป็นเพราะอะไรล่ะ?
          ดังนั้น ไม่ต้องไปมองเรื่องนี้หรอกครับ ขอแค่ มีศรัทธา ลงมือทำ ยังไงก็สำเร็จได้ครับ ไม่ว่า บริษัทไหนก็ตาม

11. "ดีมากเลย แนะนำไม่กี่คนก็ได้เงินเยอะแล้ว"
          ครับแนะนำไม่กี่คน คุณก็ได้เงินเยอะแล้วแสดงว่า คุณแนะนำให้เค้าลงทุนเยอะใช่มั้ยครับถ้าองค์กร คุณมีเดือนละ 1 ล้านบาท แต่มีคนในองค์กร 100 คน แสดงว่า แต่ละคน ลงทุนคนละ 10000 บาท ใช่มั้ยครับ และถ้าองค์กรคุณมีเดือนละ 1 ล้านบาท แต่มีคนในองค์กร 1000 คน แสดงว่า แต่ละคนลงทุน คนละ 1000 บาท ใช่มั้ยครับ คิดว่า องค์กรไหน แข็งแรงมั่นคงกว่า?
          องค์กรแรก แต่ละคนซื้อคนละหมื่น คิดว่าเค้าซื้อเกินตัวรึเปล่าครับธรรมชาติคนเมื่อทำอะไรเกินตัวมักทำไม่ได้นาน ส่วนองค์กรสอง แต่ละคนซื้อแบบพอดีตัว ก็ซื้อต่อเนื่องได้เรื่อยๆ แบบนี้คงไม่เกินตัวนะครับ
          ธุรกิจเครือข่าย เป็นการสร้างเครือข่ายคนครับ ถ้าองค์กรมีคะแนนเยอะ แต่คนทำงานน้อย ก็เหมือนบริษัทใหญ่ๆ มียอดขายเดือนละหลายล้านแต่มีคนทำงานแค่ ไม่กี่คน ถ้าคนหนึ่งคนใดลาออก คิดว่า ช่วงที่ยังไม่มีคนมาทำแทนนั้น คนอื่นต้องแบกรับภาระ หนักขนาดไหนครับ เช่นกันครับ ในธุรกิจเครือข่าย คน 10 คน จะมีผู้นำ แค่ 1-2 คนครับ เมื่อคนน้อยลงผู้นำก็น้อยลงเช่นกัน แล้วเมื่อไหร่ ทีมจะแข็งแรงมั่นคงครับ เพราะฉะนั้น แนะนำคนได้เยอะผมว่าน่าภูมิใจกว่า แนะนำคนน้อยแต่ได้เงินเยอะนะครับ

12. ต้องได้ทุนคืน ภายในเดือนแรก และได้เงินเดือนละ ....
          ถ้าจะทำธุรกิจ ก็ต้องมีแนวคิดแบบนักธุรกิจครับ ถ้าคิดว่าลงทุนเดือนแรกเท่านี้ ต้องได้ทุนคืนภายในเดือนแรก ถ้าคิดอะไรแบบชัวร์ ผมว่าไปทำงานประจำดีกว่าครับได้เงินเดือนชัวร์ๆ ทุกเดือน
          การทำธุรกิจ ก็เหมือนธุรกิจอื่นๆละครับ คุณต้องเข้าใจว่ามันอาจจะไม่ได้ อย่างที่คิดเป๊ะๆ ถ้าลงทุน ร้านกาแฟ ลงทุน เป็นแสน มีร้านไหนได้ทุนคืนภายในเดือนแรกบ้าง แต่ธุรกิจ เครือข่าย ถ้าอยากได้ คืนเร็ว คุณมีทางเลือกข้อเดียว คือ ทำมากๆ อย่างถูกวิธี ถ้าเดือนแรก หาผู้นำได้มากยังไง ทุนก็ได้คืนครับ แต่ถ้ายังไม่ได้ทำอะไร ก็มาตั้งแง่แล้วว่าจะต้องได้คืนเท่านั้นเท่านี้ ถ้าไม่ได้ไม่ทำ ก็ไปทำงานประจำน่ะดีแล้วครับ

เมื่อจะ ลงทุน จงลงทุนในสิ่งที่เรารู้จักมันเป็นอย่างดี หรือศึกษามันมาแล้ว ถ้ายังไม่รู้จัก จงลงมือศึกษามันก่อน... ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างกับเอาเงินมาซื้อหุ้นมั่วๆตัวใดตัวหนึ่งในตลาด...หรือ ไปซื้อหวยมาหนึ่งใบแล้วนั่งภาวนา และเมื่อศึกษามันมาแล้ว

อย่ารอให้รู้เต็ม 100 แล้วค่อยทำ แต่จงทำเต็ม 100 เท่าที่รู้
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น